วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Basics: Writing Task 2 > Body

เทคนิคการเขียน Body

ใช้คำเชื่อม (transitions) ระหว่างย่อหน้า

ใช้หลักการเขียนย่อหน้า

-  เขียนเรียงลำดับ idea เหมือนใน introduction


ตัวอย่าง
Introduction:  Children can learn English by (1) watching movies and (2) chatting with English-speaking friend.
Body 1: (1) By watching movies, children can learn accents and intonation.
Body 2: Furthermore, (2) by chatting with English-speaking friend, they can develop their speaking skills.

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Reading: Section 3

ใน Section 3 ของ part Reading
เราจะได้อ่านบทความในหัวข้อทั่วไป ความยาวประมาณ 900 คำ
และมีคำถามรวม 14 ข้อ ซึ่งเป็นคำถาม 3 แบบ

คำถาม 5 แบบที่ออกใน Section 3 บ่อยๆ คือ
-  Paragraph Headings
-  Pick from a List
-  Summary Completion
-  Summary Completion with a Box
-  Classification

เราจะได้รู้จักเทคนิคในการรับมือกับคำถามแต่ละแบบกันเลยครับ


PARAGRAPH HEADINGS
= เลือกหัวเรื่องให้กับย่อหน้า

-   อ่านหัวเรื่อง และ วง keyword
-   อ่านย่อหน้าแรก แล้วขีดเส้นใต้ประโยคที่เป็นใจความสำคัญ (main idea)
-   อ่าน list ของหัวเรื่อง และวง keyword 
-   เลือกหัวเรื่อง ที่มีความหมายคล้าย ใจความสำคัญ (main idea)
       *  เลือกหัวเรื่องแต่ละอันได้เพียง 1 ครั้ง


PICK FROM A LIST
=  เลือก 2-3 ตัวเลือก จาก 6 ตัวเลือก

-   อ่านคำถามโดยละเอียด ดูว่าต้องเลือกกี่ตัวเลือก และมีค่ากี่คะแนน
-   วง keyword ในคำถาม และตัวเลือก
-   หา keyword ของตัวเลือก ใน passage
-   ดูว่าตัวเลือกที่เลือก มีความหมายเหมือนกับ ประโยคใน passage       *  คำตอบอาจไม่เรียงตามลำดับใน passage


SUMMARY COMPLETION
= เติมคำหรือตัวเลขในบทสรุป

-    อ่านหัวเรื่องของบทสรุป  เพื่อดูว่าเกี่ยวกับอะไร
-    อ่าน ทั้งบทสรุป  เพื่อหาว่าบทสรุป อยู่ย่อหน้าไหนของ passage
-    ดู ช่องว่าง แล้วดูว่าต้องเติมข้อมูลชนิดไหน เช่น ชื่อ คำนาม หรือ adjective
-    วง keyword ที่อยู่รอบๆ ช่องว่าง
-    หา keyword ใน passage แล้วดูว่าต้องเติมคำใดในช่องว่าง
         * คำที่เอามาเติม อาจอยู่คนละย่อหน้า


SUMMARY COMPLETION WITH A BOX
= เติมคำหรือตัวเลขในบทสรุป  โดยใช้คำที่ให้มาในกล่อง

-   วิธีทำเหมือนกับ Summary Completion
-   แต่ต่างที่ต้องใช้คำที่ให้มาในกล่อง และต้องเขียนคำตอบเป็นตัวอักษร


CLASSIFICATION
= จำแนกชนิดของ statement ที่โจทย์ให้มา
      * ชนิด มักเป็นตัวเลือก A, B, C        statement  มักเป็นคำถามข้อ  1, 2, 3

-   วง keyword ใน statement ข้อ 1
-   วง "ชนิด" ใน passage ("ชนิด" จะเป็น ชื่อคน, วันเดือนปี หรือ คำนาม)
-   อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง "ชนิด" แต่ละอัน ใน passage
-   ดูว่าใจความของ "ชนิด" ไหน ตรงกับ ความหมายของ statement ข้อ 1
-   ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้นกับ statement ข้ออื่น (2, 3, 4, ...)


ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน
แล้วเพื่อนๆ มีเทคนิคในการรับมือคำถามพวกนี้ยังไงบ้างครับ

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

Reading: Section 2

ใน Section 2 ของ part Reading
เราจะได้อ่านบทความในหัวข้อทั่วไป ความยาวประมาณ 900 คำ
และมีคำถามรวม 13 ข้อ ซึ่งเป็นคำถาม 3 แบบ

คำถาม 5 แบบที่ออกใน Section 2 บ่อยๆ คือ
-  Matching
-  Finding Information in Paragraphs
-  Sentence Completion with a Box
-  Yes / No / Not Given
-  Multiple Choice

เราจะได้รู้จักเทคนิคในการรับมือกับคำถามแต่ละแบบกันเลยครับ


MATCHING
= จับคู่

-   อ่าน ตัวเลือกในกล่อง (เริ่มจาก A) เพราะมักจะเรียงตามลำดับใน passage
-   วง keyword ของตัวเลือก
-   หา keyword ของตัวเลือก ใน passage
-   เมื่อเจอ keyword ให้อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง 

-   อ่าน list ของคำถาม แบบเร็วๆ เพื่อดูว่าข้อไหน ตรงกับประโยคที่เพิ่งอ่านใน passage
-   ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้นกับ ตัวเลือกอันต่อไป (B, C, D, ...)

     *  ตัวเลือกอาจจะถูกจับคู่ได้มากกว่า 1 ครั้ง  เช่น ข้อ 1 ตอบ B แล้วข้อ 3 ตอบ B ได้อีก


FINDING INFORMATION IN PARAGRAPHS
= หาข้อมูลว่าอยู่ย่อหน้าไหน

-   วง keyword ในคำถาม
-   ดูว่าต้องหาข้อมูลประเภทไหน-   อ่านย่อหน้าแรก แล้วอ่าน list ของคำถามแบบเร็วๆ
-   วงคำในย่อหน้าที่ตรงกับ keyword ในคำถาม
-   เขียน ตัวอักษรของย่อหน้า (A, B, C, ...) ข้างๆคำถาม
-   ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้นกับ คำถามข้อถัดไป

     *  แต่ละย่อหน้าอาจจะถูกจับคู่ได้มากกว่า 1 ครั้ง  เช่น ข้อ 1 ตอบ B แล้วข้อ 3 ตอบ B ได้อีก
 

SENTENCE COMPLETION WITH A BOX
= จับคู่ 2 ประโยคย่อย เพื่อสร้างประโยคที่มีความหมายคล้ายกับใน passage

-    อ่าน ส่วนแรกของประโยคที่ให้มา แล้ววง keyword
-    หาประโยคที่มี keyword ใน passage
-    เมื่อเจอ keyword ให้อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง เพื่อทำให้เข้าใจมากขึ้น
-    อ่าน list ของ ส่วนที่สองของประโยคในกล่อง
-    เลือกประโยคที่นำมาต่อแล้ว
      มีความหมายคล้ายกับใน passage และถูกหลัก grammar


YES / NO / NOT GIVEN
= ดูว่า ประโยคที่ให้มา ถูก หรือ ผิด หรือ ไม่ถูกกล่าวถึง

    Yes ประโยคที่ให้มา มีความหมายคล้ายกับ  ประโยคใน passage
(พูดสิ่งเดียวกัน แต่ใช้คำที่ต่างกัน)
    No ประโยคที่ให้มา มีความหมายตรงข้ามกับ  ประโยคใน passage
    Not Given     ประโยคที่ให้มา ไม่ถูกกล่าวถึง ใน passage

ความต่าง
True / False / Not Given         ทดสอบความเข้าใจ "ข้อมูล" ใน passage
Yes / No / Not Given             ทดสอบความเข้าใจ "ความคิดเห็นของผู้เขียน"

-    อ่านประโยคที่ให้มา
-    วง keyword ในประโยคที่ให้มา
-    หา keyword ใน passage
-    อ่าน passage จาก บนลงล่าง ไม่ต้องกระโดดไปกระโดดมา
      (เพราะคำถามเรียงตามลำดับใน passage)
-    เมื่อเจอ keyword ให้อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง
-    ตีความว่าความหมายตรงกับคำถาม หรือเปล่า


MULTIPLE CHOICE
 = คำถาม 4 ตัวเลือก มี 2 แบบ
    แบบที่ 1:   มี 4 ตัวเลือก
    แบบที่ 2:   ให้ประโยคส่วนแรกมา แล้วมี 4 ตัวเลือกที่เป็นประโยคส่วนที่สอง

-    วง keyword ในคำถาม
-    หาและวง keyword ใน passage เพื่อจะได้รู้ว่าต้องอ่านตรงไหน
-    วง keyword ในตัวเลือก
-    อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง เพื่อทำให้เข้าใจมากขึ้น
-    ตีความว่าความหมายตรงกับตัวเลือกข้อไหน


ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน
แล้วเพื่อนๆ มีเทคนิคในการรับมือคำถามพวกนี้ยังไงบ้างครับ

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

Reading: Section 1

ใน Section 1 ของ part Reading
เราจะได้อ่านบทความในหัวข้อทั่วไป ความยาวประมาณ 900 คำ
และมีคำถามรวม 13 ข้อ ซึ่งเป็นคำถาม 3 แบบ

คำถาม 6 แบบที่ออกใน Section 1 บ่อยๆ คือ
-  Sentence Completion
-  Short Answer Question
-  Note / Table / Flow Chart Completion
-  Labeling a Diagram
-  True / False / Not Given
-  Global Multiple Choice

เราจะได้รู้จักเทคนิคในการรับมือกับคำถามแต่ละแบบกันเลยครับ

SENTENCE COMPLETION
= เติม คำหรือตัวเลข ในประโยค

-    ดูที่ ช่องว่าง* แล้วเดาว่ามันน่าจะเป็นข้อมูลชนิดไหน เช่น noun, verb, adjective หรือ ตัวเลข
       -   adjective มัก นำหน้า noun หรือ ตามหลัง verb to be เช่น is, am, are, was, were
            เช่น   good analysis, This analysis is good.
-    การเติมคำต้องถูกตามหลัก grammar 

*   ช่องว่างแต่ละช่อง จะบอกได้ 3 อย่าง
     (1) ชนิดคำ (noun, verb, adjective)     (2) ชนิดข้อมูล        (3) เอกพจน์ หรือ พหูพจน์

     Ex:   The _______ in London has attracted the attention of tourists around the world.
     (1)  ชนิดคำ: noun     (2)  ชนิดข้อมูล: สถานที่ท่องเที่ยว (ดูจาก tourists)    (3) เอกพจน์ (ดูจาก has)


SHORT ANSWER QUESTION
=  เติมคำตอบแบบสั้น

-   เริ่มจากคำถามข้อแรก
-   วงกลม Wh- word ในคำถาม เช่น what, where, when, why, who, whom, how
     จะช่วยให้รู้สิ่งที่ถาม
         Where?   สถานที่      Which?   สิ่งของ       When?  เวลา        What?   สิ่งของ
         Why?      สาเหตุ       Who?     คน               How?    วิธี
-   วงกลม keyword ในคำถาม
-   กลับไปอ่านใน passage ว่าเจอคำที่คล้ายๆ keyword หรือเปล่า
-   ดูว่าคำถาม มันถามข้อมูลชนิดไหน แล้วดูว่าต้องเติมอะไร


NOTE / TABLE / FLOWCHART COMPLETION
= เติมคำใน note / table / flowchart

-    อ่านทั้ง note / table / flow chart ก่อน หนึ่งรอบ ให้ทุกคำผ่านตา
-    ดูที่ หัวข้อเรื่อง (heading) และที่คำที่ให้มา เพื่อจะรู้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไร
-    ถ้าเป็น flowchart ทำความเข้าใจว่า process มันดำเนินไปยังไง
-    วง keyword ที่อยู่ใกล้ๆ ช่องว่าง แล้วอ่าน passage หาคำที่ีมีความหมายเหมือน keyword
      เพื่อช่วยให้หาคำตอบได้ง่ายขึ้น
-    ดูที่ ช่องว่าง แล้วเดาว่ามันน่าจะเป็นข้อมูลชนิดไหน เช่น noun, verb, adjective หรือ ตัวเลข


LABELING A DIAGRAM
= เติมชื่อสถานที่ในแผนที่ / แผนผัง

-   อ่านทั้ง diagram ก่อน เพื่อรู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร
-   อ่านคำที่ให้มาใน diagram
-   ดูที่ ช่องว่าง แล้วเดาว่ามันน่าจะเป็นข้อมูลชนิดไหน เช่น ชื่อสถานที่ หรือ ขั้นตอน
-   ตอนอ่าน สังเกตคำที่บอกตำแหน่ง (ช่วยให้เราหาคำตอบได้ง่ายขึ้น) เช่น
         in the middle, on the corner, next to, above/below, straight ahead, leads to


TRUE / FALSE / NOT GIVEN
= ดูว่า ประโยคที่ให้มา ถูก หรือ ผิด หรือ ไม่ถูกกล่าวถึง

    True ประโยคที่ให้มา มีความหมายคล้ายกับ  ประโยคใน passage
(พูดสิ่งเดียวกัน แต่ใช้คำที่ต่างกัน)
    False ประโยคที่ให้มา มีความหมายตรงข้ามกับ  ประโยคใน passage
    Not Given     ประโยคที่ให้มา ไม่ถูกกล่าวถึง ใน passage

-    อ่านประโยคที่ให้มา
-    วง keyword ในประโยคที่ให้มา
-    หา keyword ใน passage
-    อ่าน passage จาก บนลงล่าง ไม่ต้องกระโดดไปกระโดดมา
      (เพราะคำถามเรียงตามลำดับใน passage)
-    เมื่อเจอ keyword ให้อ่าน 2 ประโยคหน้า + หลัง
-    ตีความว่าความหมายตรงกับคำถาม หรือเปล่า


GLOBAL MULTIPLE CHOICE
 = คำถามเกี่ยวกับ หัวข้อ (topic), ใจความสำคัญ (main idea), จุดประสงค์ (objectives) ของ passage

-    วง keyword ในคำถาม และตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ
-    อ่าน ประโยคที่เป็นใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้าของ passage
      (มักเป็นประโยคแรก หรือประโยคสุดท้าย)
-    ตัดตัวเลือกที่ผิดแน่ๆออก แล้วดูว่าตัวเลือกไหนน่าจะถูก


ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน
แล้วเพื่อนๆ มีเทคนิคในการรับมือคำถามพวกนี้ยังไงบ้างครับ

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

เทคนิคไม่ลับเตรียมสอบ IELTS Speaking

เพื่อนๆ คงจะเคยสงสัยกันว่า
จะทำยังไงให้ได้ IELTS Speaking band สูงๆ

วันนี้ผมมีเคล็ดไม่ลับในการสอบ Speaking มาฝากครับ

Smiley

ก่อนสอบ Speaking


1. ยิ้ม : )  +  มั่นใจเข้าไว้ **

2. friendly ทำให้ examiner ประทับใจตั้งแต่แรกพบ **

3. สบายๆ คิดซะว่าเข้าไปนั่งเม้ามอยกับเพื่อน

4. เริ่มต้นด้วยการทักทายที่เป็นมิตร

    เรา:           Good morning. It's nice to meet you. How are you?
    Examiner:   Good morning. My name is _____. Can you tell me you full name please?
    เรา:           My name is '<ชื่อจริง>' but please call me '<ชื่อเล่น>'
    Examiner:   Thank you. Can I see your identification, please?
    เรา:           ยื่นบัตรประชาชน หรือ passport ให้ examiner ตรวจ
                      Now, I'd like to ask you some questions about yourself.

ตอนสอบ Speaking


1. ถ้ากำลังคิดอยู่ อย่าเงียบไปดื้อๆ
    ให้พูดว่า urr, umm, the thing is, well, Let me see

2. ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องจริงทั้งหมด
     ถ้าคิดไม่ออก ก็แต่งเรื่องขึ้นมาเลย

     เพราะ Examiner ไม่รู้หรอกว่าอะไรจริงไม่จริง
     การสอบ Speaking เป็นเพียงการทดสอบทักษะในการพูด

หวังว่า เคล็ดไม่ลับในการสอบ Speaking ที่ผมนำมาฝาก จะช่วยเพื่อนๆได้บ้างนะครับ

แล้วเพื่อนๆ มีเคล็ดไม่ลับในการสอบ Speaking ที่อยากจะแชร์ หรือเปล่าครับ : )

Credits:   IELTS Institute

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

คำเชื่อมประโยค (Connectives) Part 2

English learning magazine in Germany
เรามาต่อกันเลยนะครับ : )  การใช้คำเชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผลกัน
มีอยู่อีก 4 กลุ่มด้วยกันครับ

3.    อย่างไรก็ตาม (ขัดแย้ง)


Still,

But,
....... S + V ....... Yet, ....... S + V .......

However,

Nevertheless,

Nonetheless,

       He is smart. However, no one like him.
       เขาฉลาด แต่ ไม่มีใครชอบเขา


4.    เพราะว่า


because

since
....... S + V ....... for ....... S + V .......
ผล as เหตุ

seeing that

now that

       She gets the highest score in the class because she works very hard.
       เธอได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน เพราะ เธอตั้งใจเรียนมาก


5.    เพราะ / เนื่องจาก


due to

owing to
....... S + V ....... thanks to ....... N / วลี .......
ผล as a result of เหตุ

on account of

because of
       ใช้ได้ 2 แบบ อาจจะนำคำเชื่อมมาอยู่ระหว่างประโยค หรือ อยู่หน้าประโยค

       She gets the highest score in the class due to hardworking.
       เธอได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน เพราะ ความขยัน

       Due to hardworking, she gets the highest score in the class.
       เพราะ ความขยัน เธอจึงได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน


6.    ดังนั้น


So,

Thus,
....... S + V ....... Hence, ....... N / วลี .......
เหตุ Therefore, ผล

Thereby,

Consequently,

       She worked hard. Consequently, she could get the first place.
       เธอตั้งใจเรียน ดังนั้น เธอจึงได้ที่หนึ่ง


Credits:  Kru Somsri English School

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page

คำเชื่อมประโยค (Connectives)

English learning magazine in Germany

คำเชื่อมประโยคมีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน
แต่เราควรจะเริ่มจากคำเชื่อมที่พบเห็นได้ทั่วๆไป
"และ", "หรือ", "กว่า", "เช่น", ....


1.    ..............    and     ..............
                          or

       หน้าและหลัง and / or จะเป็นคำชนิดเดียวกัน
       เช่น      N  N  N  and  N      ->    The stationery are things such as pen, pencil, ruler and paper.
                  adj adj adj and adj    ->    He is dark, tall, rich and handsome.


2.    ..............    than     ..............

       ใช้เปรียบเทียบสองสิ่ง
       เช่น     Kids these days are more competitive than those in the past.
                  เปรียบเทียบ kids these days กับ those in the past


3.    ยิ่งไปกว่านั้น   (เสริมความ)


Besides,

Moreover,
....... S + V ....... Furthermore, ....... S + V .......
+ In addition, +
- Additionally, -

       He is so generous. Moreover, he always help other people.
       เขาเป็นคนใจกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

       * ถ้าข้างหน้าเป็นความหมายบวก ข้างหลังก็เป็นความหมายบวก


4.   ยกตัวอย่าง / เช่น   (ขยายความ)

       For example,
       For instance,     ....... S + V .......
       To illustrate,

       He has met many famous people. For example, he interviewed Obama last week.

       such as              ...... N / วลี ......
       namely

       There are various mode of transport namely bus, car, ship, train and plane.


Credits:  Kru Somsri English School

ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ถ้าทำแล้ว คะแนนต้องมีการพัฒนาแน่นอน : )
ถ้าใช้ได้ผล อย่าลืมมา Like และแชร์กันได้เลยนะครับ

Back to main page